logo
ร้านปันปัน ยางกันลื่น ยางกันลื่นห้องน้ำ 085-1385363

บทความ

ทำไมต้องฉีดวัคซีนให้ลูก

07-02-2551 19:05:16น.

บทความ จาก นิตยสารบันทึกคุณแม่

                ในอดีตที่ผ่านมามีโรคร้ายที่คร่าชีวิตเด็ก ๆ ไปอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โรคคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก และโปลิโอ ลองมารู้จักโรคร้ายดังต่อไปนี้

โรคคอตีบ

                ทำให้หายใจไม่ออกเพราะมีพังผืดไปอุดกั้นทางเดินหายใจ ครั้นแก้ไขได้ก็ยังเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวจากพิษที่กำเริบเข้าไปยังหัวใจอีก

โรคไอกรน

                ทำให้เกิดเสมหะที่เหนียวมากอุดตันอยู่ในหลอดลมของเด็ก ทำให้หายใจไม่สะดวก ต้องไอแรง ๆ กระชั้นจนเลือดออกที่นัยน์ตา เพียงเพื่อขับเสมหะออกมา ในเด็กเล็ก ๆ มีหลอดลมเล็ก แต่มีเสมหะเหนียวอุดตัน ทำให้เสียชีวิตได้

บาดทะยัก

                เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้ตั้งแต่แรกเกิด มีอาการกระตุกเวลาถูกกระตุ้นไม่ว่าจะด้วยเสียง แสง การสัมผัส ก็จะเกิดอาการเกร็งกระตุกของกล้ามเนื้อ รับประทานไม่ได้ ขากรรไกรแข็งเกร็งจนหายใจไม่ได้จนหยุดหายใจ

โปลิโอ

                ทำให้เกิดอาการไข้ แล้วกล้ามเนื้อก็ปวดในระยะแรก แล้วก็ค่อย ๆ อ่อนแรงเป็นอัมพาต ขยับแขนขาไม่ได้พิการไป ในบางรายก็มีอาการที่กล้ามเนื้อกระบังลม ทำให้ไม่สามารถหายใจได้ ต้องใช้ปอดเหล็กเป็นเครื่องช่วยหายใจ บางรายช่วยไม่ทันก็เสียชีวิตไป เพราะหายใจไม่ได้

                ในสมัยอดีตนั้น หมอก็ได้แต่รักษาเยียวยากันไปตามอาการและสาเหตุ เช่น ให้ยาฆ่าเชื้อ เจาะคอช่วยหายใจ และให้การรักษาอื่น ๆ ต่อมาการแพทย์ได้เจริญขึ้น เราจึงรู้ว่าสามารถที่จะเรียนรู้สิ่งแปลกปลอมและสร้างภูมิต้านทานเพื่อฆ่าเชื้อร้ายต่าง ๆ นี้ เพียงแต่ไม่รู้จักมาก่อน จึงเตรียมตัวไม่ทันต้องรอให้หมอเยียวยาก่อน พอหายแล้วจึงมีภูมิต้านทานเกิดขึ้นได้ เด็ก ๆ ในอดีตจึงต้องเสี่ยงชีวิตตามลำพังจนกว่าจะเป็นโรคจึงได้รับการช่วยเหลือ นักวิทยาศาสตร์สมัยต่อมาจึงคิดค้นที่จะนำเชื้อที่ตายแล้วหรืออ่อนฤทธิ์แล้ว หรือบางทีก็เป็นเพียงบางส่วนของเชื้อโรค นำมาให้แก่ร่างกายได้รู้จักก่อนเพื่อที่จะเตรียมตัวในการสร้างภูมิต้านทานไว้ก่อน และมีการพัฒนาขึ้นมาเป็นวัคซีนจนถึงปัจจุบัน

                หลักการก็คือให้สารที่ต้องการให้เข้าสู่ร่างกายก่อนอาจจะให้โดยการฉีดยา เช่น บาดทะยัก คอตีบ ไอกรน หรือจะให้โดยรับประทานคือ โปลิโอ ซึ่งปัจจุบันให้ได้ทั้งแบบ รับประทานและแบบฉีด เมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกายเรา เราก็จะทำความรู้จักและจดจำสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายนี้ก่อน แล้วทำการผลิตภูมิต้านทานทั้งในรูปแบบที่เรียกว่า "อิมมูโนโกลบุลิน" และสารต่าง ๆ รวมทั้งเม็ดเลือดขาวด้วย เพื่อกำจัดเชื้อหรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายนี้

                สำหรับโปลิโอที่ให้โดยการรับประทาน จะกระตุ้นให้เกิดการสร้างภูมิต้านทานเฉพาะที่ในทางเดินอาหารด้วย ซึ่งเป็นจุดที่โปลิโอในธรรมชาติแพร่มาทำให้เกิดโรค ส่วนที่เข้าไปในลำไส้และดูดซึมแล้ว ก็จะเกิดปฏิกิริยาในร่างกายต่อมาเหมือนการฉีดเข้าไป แต่โปลิโอชนิดรับประทานนี้เป็นชนิดที่ยังมีชีวิตแต่อ่อนฤทธิ์แล้วเท่านั้น ดังนั้นในบางรายที่มีภูมิต้านทานต่ำ เช่น เป็นโรคเอดส์ก็ให้ฉีดวัคซีนชนิดนี้ไม่ได้ เพราะอาจทำให้เกิดโรคได้ จึงต้องใช้วัคซีนโปลิโอแบบฉีด ซึ่งเป็นแบบที่ใช้เชื้อที่ตายแล้วนำมาฉีดเพื่อให้ร่างกายได้รู้จักแต่จะไม่เกิดโรค แต่การกระตุ้นที่ลำไส้ก็จะไม่มีเช่นกัน

ควรฉีดวัคซีนบ่อยแค่ไหน

                อย่างไรก็ตาม การฉีดวัคซีนครั้งเดียวจะทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานในปริมาณต่ำ ๆ ไม่มากนักและมักอยู่ได้ไม่นาน ดังนั้นจึงต้องมีการฉีดวัคซีนกระตุ้นเป็นระยะ ๆ เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานในปริมาณที่สูงและอยู่ได้นานขึ้น เพื่อว่าเวลาที่เด็กได้รับเชื้อโรคจริง ๆ เข้าไป ร่างกายก็จะได้มีภูมิต้านทานสูงแล้ว เชื้อที่เข้าไปก็จะถูกทำลายก่อนที่จะทำให้เกิดโรคได้ โดยทั่วไปให้วัคซีนบาดทะยัก คอตีบ ไอกรน และโปลิโอเมื่ออายุ 2,4,6 เดือน และกระตุ้นอีกเมื่ออายุ 18 เดือน และตอนอายุ 4 (3 - 5) ปี ในประเทศไทยเรามีการรณรงค์ต่อเนื่องมาโดยตลอด จนโรคต่าง ๆ เหล่านี้ลดน้อยลงไป จนบางโรค เช่น โปลิโอ เรียกได้ว่าแทบจะหมดไปจากประเทศไทยเรา และยังมีการรณรงค์ในช่วงหลายปีมานี้เพื่อให้โรคโปลิโอ หมดไปจากแผ่นดินไทยเรา

โรคที่ควรรู้จักเพิ่มเติม

                วัคซีนเอ็มเอ็มอาร์ (MMR) คือวัคซีนป้องกันโรคหัด หัดเยอรมัน และคางทูม ตัวที่น่ากลัวที่สุดก็คือ โรคหัด หรือเรียกว่าหัดไทยนี้แหละครับที่คร่าชีวิตเด็กในอดีตมามาก เพราะโรคหัดจะทำให้เกิดอาการไข้สูง ไอ ออกผื่น ท้องเสียและมักจะมีโรคแทรกตามมามาก เพราะมีภูมิต้านทานต่ำระหว่างมีอาการของโรคหัด เด็ก ๆ จึงมักเสียชีวิตจากโรคปอดบวม อุจจาระร่วง เสียน้ำมากจนช็อก เป็นต้น

หัดเยอรมัน

                ส่วนใหญ่ไม่เป็นปัญหามากนัก อาการคล้ายหัด แต่ความรุนแรงน้อยกว่ามากเป็นแค่ 3 วันก็หาย ไม่มีอันตรายถึงตาย ยกเว้นในกรณีเดียวเท่านั้นเอง คือ คุณแม่ตั้งครรภ์ เพราะจะทำให้เกิดความพิการตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาหรือแท้งออกมา

คางทูม

                จะมีอัตราการตายน้อยที่สุด แต่ก็อาจเกิดอาการอัณฑะอักเสบเป็นโรคแทรกได้ ทำให้เกิดเป็นหมันในชาย ดังนั้นจึงมีการผลิตวัคซีนรวมในเข็มเดียว รวมหัด หัดเยอรมัน และคางทูมไว้ด้วยกัน โดยให้เข็มแรกได้ในช่วงอายุ 9 - 12 เดือน (หรืออาจให้หัดอย่างเดียวในช่วงนี้) แล้วกระตุ้นอีกครั้งเมื่ออายุ 4 - 5 ปี

                ปัจจุบันเมื่อเรามีการป้องกัน โรคร้ายแรงเหล่านี้ก็ค่อย ๆ เกิดน้อยลงจนบางโรคแทบจะไม่พบ ทำให้ลดการสูญเสียชีวิตในเด็กซึ่งเป็นวัยที่ไม่ควรเสียไปได้ และทำให้เด็กมีการเจริญเติบโตได้อย่างสมบูรณ์ มีสุขภาพและพลานามัยที่ดีขึ้นด้วย