logo
ร้านปันปัน ยางกันลื่น ยางกันลื่นห้องน้ำ 085-1385363

บทความ

ดนตรีคลาสสิค.....ช่วยให้ลูกฉลาดจริงหรือ?

17-07-2552 17:26:11น.

 คุณพ่อคุณแม่คงเคยได้ยินกันมาบ้างนะคะ ว่าการให้ลูกฟังดนตรีคลาสสิคตั้งแต่อยู่ในท้องนั้นจะช่วยในเรื่องพัฒนาการของลูกได้เป็นอย่างดี แต่หลายคนฟังแล้วอาจจะยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ว่าดนตรีจะทำได้ขนาดนั้นเชียวหรือ วันนี้เรามีข้อมูลมาช่วยไขข้อข้องใจให้คุณพ่อคุณแม่ค่ะ


มีงานวิจัยในต่างประเทศนะคะที่พบว่าทารกในครรภ์ที่มีอายุถึง 8 เดือน จะสามารถรับรู้เสียง ดนตรี และได้ยินเสียงที่แม่พูดหรือร้องเพลงให้ฟังได้ และพบว่าดนตรีจะช่วยให้สมองลูกฉลาด เกิดความคิดอย่างมีเหตุมีผล ทั้งในด้านการคิดคำนวณเลขคณิต วิทยาศาสตร์ และภาษา โดยเฉพาะดนตรีที่มีจังหวะช้าๆ ฟังสบายๆ อย่างดนตรีคลาสสิค

ผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนาการเด็กส่วนใหญ่จะแนะนำให้เปิดเพลงประเภทคลาสสิคให้ลูกฟัง เพราะดนตรีคลาสสิค มีส่วนช่วยส่งเสริมพัฒนาการทางสมองของเด็กให้เจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี จังหวะ ทำนอง และความกลมกลืนของเสียงดนตรี ที่ถูกเรียบเรียงไว้อย่างเป็นลำดับขั้นตอน จะช่วยจัดลำดับความคิดในสมองเด็ก โดยเฉพาะลูกน้อยในวัยแรกเกิด-3 ขวบ ดนตรีคลาสสิคจะทำให้ลูกเกิดการเรียนรู้ ช่วยพัฒนาลูกน้อยทั้งทางด้านอารมณ์ จิตใจ สติปัญญาและความคิดสร้างสรรค์ ช่วยให้สามารถจดจำสิ่งต่างๆที่พ่อแม่สอนได้ดียิ่งขึ้น

การรับฟังดนตรีคลาสสิคเบาๆ ในจังหวะช้าๆ จะทำให้เด็กเกิดอารมณ์สุนทรีย์ ซึ่งความรู้สึก
ผ่อนคลายที่ได้รับนี้จะช่วยให้สมองเด็กเปิดรับการเรียนรู้ได้ดี และยังช่วยเสริมสร้างสมาธิ จากการที่เด็กสงบนิ่งชั่วขณะหนึ่ง จังหวะและท่วงทำนองที่ซับซ้อนของดนตรีคลาสสิค จะช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการคิดวิเคราะห์แบบมีเหตุมีผลในด้านความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ อันเป็นพื้นฐานในด้านคณิตศาสตร์ วิศวกรรม และการอ่านเขียน

นอกจากนี้จังหวะเสียงสูงต่ำ และความถี่ของเสียงดนตรีคลาสสิค ยังมีส่วนช่วยพัฒนาความสามารถในการเรียนภาษาให้ดีขึ้นได้ บทประพันธ์ดนตรีคลาสสิคบางชิ้น ยังส่งผลด้านการพัฒนาสติปัญญา และความคิดสร้างสรรค์ โดยเพิ่มขีดความสามารถด้านการใช้คำพูด อารมณ์ พัฒนาสมาธิและความจำ อีกทั้งช่วยให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีขึ้น

มีงานวิจัยหลายชิ้นที่แสดงให้เห็นว่า เด็กที่เรียนรู้ทักษะบางอย่างขณะฟังดนตรีคลาสสิคไปด้วย จะสามารถจดจำสิ่งที่ตัวเองเรียนรู้ได้ดี เข้าใจเหตุผลของความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว

การศึกษาทารกอายุ 3เดือน ซึ่งเรียนรู้ทักษะง่ายๆ ขณะฟังดนตรีคลาสสิค พบว่าเด็กๆ จะจดจำสิ่งที่ตนเรียนรู้ได้นาน และเมื่อเปิดเพลงเดิมให้ฟังอีกครั้งหลังจากนั้นไปอีก 7 วัน เด็กก็ยังจำทักษะนั้นได้อยู่

การศึกษาเพิ่มเติมในเด็กก่อนวัยเรียน 3 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ฝึกเล่นเปียโน กลุ่มที่ฝึกใช้คอมพิวเตอร์ และกลุ่มที่ไม่ได้รับการฝึกฝนใดๆ พบว่ามีกลุ่มเด็กที่เล่นเปียโนเพียงกลุ่มเดียวที่มีความสามารถเข้าใจเหตุผลของความสัมพันธ์เชิงมิติของสิ่งต่างๆ ได้รวดเร็วขึ้น ทั้งนี้เพราะระบบประสาทที่ ควบคุมการเรียนรู้ด้านคณิตศาสตร์เป็นอันเดียวกันกับดนตรี เมื่อพัฒนาทักษะทางดนตรีก็เท่ากับได้พัฒนา ทักษะทางคณิตศาสตร์ไปพร้อมๆ กันด้วย


มาใช้ดนตรีพัฒนาลูกกันเถอะ
สมองของทารกมีศักยภาพอันน่าอัศจรรย์ เด็กทารกสามารถจดจำเสียงเพลงเดิมๆ ที่แม่เคยร้องกล่อมตั้งแต่อยู่ในครรภ์ได้ เมื่อทารกลืมตาดูโลกแล้ว และแม่ร้องเพลงนั้นให้ฟังอีก เด็กจะมีปฏิกิริยา 2 แบบ คือ แบบที่ 1 ดูดนมแม่เร็วและถี่ขึ้น กับแบบที่ 2 คือ หยุดดูดชั่วขณะคล้ายกับกำลังหยุดฟังเสียงเพลงอยู่ เสียงเพลงขับกล่อมจากแม่ที่แฝงความนุ่มนวลอ่อนโยนในน้ำเสียง จะช่วยให้ทารกเกิดความสบายใจ รู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย และยังช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกให้แนบแน่นขึ้นอีกด้วย

การเปิดเพลงคลาสสิคเบาๆ ให้ทารกฟังตั้งแต่อยู่ในครรภ์ จะส่งผลให้ทารกสามารถรับรู้เรื่องเสียงได้มากขึ้น และเมื่อออกจากครรภ์มารดามาสู่โลกภายนอก ก็จะสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมภายนอกได้ดีขึ้น และมีอารมณ์ความรู้สึกที่ผ่อนคลายมากขึ้น ทารกในวัย 2-3 เดือนแรกจะชอบฟังเพลงช้าๆ เบาๆ ท่วงทำนองที่นุ่มนวล ถ้าหากพ่อแม่เปิดเพลงแบบนี้ให้ฟังจะช่วยทำให้ลูกนอนหลับสบาย ทารกวัย 4-5 เดือนจะเริ่มเข้าใจจังหวะมากขึ้น เมื่อได้ยินเสียงเพลงจะสามารถขยับร่างกาย หากได้ฟังดนตรีในท่วงทำนองที่ชอบก็จะยิ้ม และตบมือด้วยความคึกคัก วัย 6 เดือน เด็กจะเริ่มมีพัฒนาการของการออกเสียงเป็นพยางค์ได้บ้างแล้ว ลูกจะพยายามส่งเสียง เลียนแบบเพลงที่เขาได้ยิน ดังนั้นพ่อแม่ควรหาเพลงที่มีเนื้อร้องสั้นๆ ง่ายๆ มาเปิดให้ลูกฟังเพื่อให้เขาหัดเลียนเสียงตาม

ถ้าพ่อแม่สังเกตเห็นว่าลูกเริ่มหงุดหงิด ให้เปิดเพลงจังหวะช้าๆ นุ่มนวล หรือร้องเพลงกล่อมลูก เพื่อปลอบโยนและเบนความสนใจของลูก ไม่ให้รู้สึกหงุดหงิด และเกิดความสบายใจ สร้างเสียงดนตรีให้สนุกสนานสำหรับลูก เช่น ร้องเพลงที่มีเนื้อหาเลียนแบบเสียงร้องของสัตว์ต่างๆ หรือทำเสียงเคาะขวด เคาะแก้วพลาสติก ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นการขยายการเรียนรู้เรื่องเสียง และเรื่องคำให้ลูกน้อยเพิ่มขึ้น ใช้เสียงเพลงเป็นสื่อให้ลูกเรียนรู้กิจวัตรประจำวัน เช่น หาเพลงที่ใช้เป็นประจำเวลาพาลูกไปอาบน้ำ จะทำให้ลูกรู้ว่าถึงเวลาอาบน้ำแล้ว หรือเปิดเพลงที่ลูกเคยฟังเวลาจะเตรียมนมให้ลูกกิน ทำให้ลูกรู้จักการรอคอย เพราะรู้ว่าอีกไม่นานก็จะได้อิ่มท้องสบายแล้ว

เป็นไงคะ ข้อมูลที่เอามาฝากกัน อ่านแล้วไม่เชื่อก็ต้องเชื่อนะคะว่า พลังแห่งดนตรีนั้นช่วยลูกน้อยได้อย่างน่าอัศจรรย์จริงๆ

 

 

บทความนำมาจาก www.lovekids.com